เอเซอร์ (acer) บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับสองของโลกประกาศเมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทเริ่มบุกตลาดเน็ตบุ๊กที่ใช้ Pine Trail แพลตฟอร์มซีพียูใหม่ล่าสุดจากอินเทล (Pine Trail) โดยเปิดตัวด้วย Aspire One AO532h แม้มันจะไม่ใช่เน็ตบุ๊กที่ใช้ Pine Trail รุ่นแรกในท้องตลาด แต่มันเป็นเน็ตบุ๊กที่มีราคาถูกทีสุด!!!
ข่าวไอที : เนื่องจากการเปิดตัวครั้งล่าสุดของ iPhone 4 ทางแอปเปิ้ล (Apple) พยายามจะปกปิดข้อมูลทางด้านเทคนิคบางอย่างเกี่ยวกับไอโฟนรุ่นใหม่ ทางบริษัทยังไม่เคยโฆษณา หรือแม้แต่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยความจำ (RAM) ที่อยู่ในเครื่อง ซึ่งผู้บริโภคบางกลุ่มอาจจะต้องการทราบเรื่องราวเหล่านี้บ้างเหมือนกัน
มาแล้วคับ Panda Internet Security 2010 เปิดให้เพื่อนๆ ได้ใช้ฟรีถึง 3 เดือน Antivius ตัว นี้จะทำให้เพื่อนๆที่ท่องอินเตอร์เน็ตอย่างสบายใจและปลอดภัยจาก ไวรัส สปายแวร์ แฮกเกอร์และยังช่วยปกป้องข้อมูลและคอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ ให้มีความปลอดภัย
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
3G และ 4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง
เมื่อก่อนเราใช้โทรศัพท์เป็นโทรศัพท์ คือใช้โทรได้อย่างเดียว นั้นเรียกว่ายุค 1G พอยุค 2G โทรศัพท์ก็สามารถถ่ายรูปได้ ส่งข้อความได้ ส่งอีเมล์ได้ แต่ยังติดขัดอยู่ในเรื่องของสัญญาณติดๆ ขัดๆ เวลาเคลื่อนไหว ส่วน 3G จริงๆ แล้วก็คือระบบโทรศัพท์ที่พัฒนาอีกขั้นหนึ่งให้มีการเชื่อมต่อตลอดเวลา ในเรื่องของข้อมูล เฉพาะฉะนั้นในด้านการเชื่อมต่อข้อมูลจะดีกว่า อีกทั้งยังไม่ได้คิดราคาตามเวลาการใช้ แต่จะคิดตามอัตราการโหลดข้อมูล และมีความเร็วในการใช้งานที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นโทรศัพท์ในยุค 3G จึงไม่ใช่แค่เพียงโทรศัพท์อีกต่อไป 3G ทำให้การพูดคุยสามารถเห็นหน้ากันได้ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซอฟท์แวร์ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโทรศัพท์ ก็คืออีกสักหน่อยโทรศัพท์อาจจะส่งสัญญาณให้ควบคุมสิ่งของที่บ้าน เช่น ส่งให้เปิดปิดตู้เย็น เปิดปิดหม้อหุงข้าว เป็นต้น หรือข้อมูลอะไรต่างๆ ที่มีพื้นที่การเก็บข้อมูลมากๆ 3G ก็จะให้ประโยชน์เหล่านี้นั้นเอง อย่างเช่น แผนที่เราก็สามารถดาวน์โหลดได้จากอินเตอร์เนตเข้ามาที่โทรศัพท์โดยผ่านระบบ 3G นี้ได้เลย
เทคโนโลยีใหม่
คำว่า 3G ในเรื่องของโทรศัพท์ก็คือมาตรฐานการพัฒนาซึ่งแบ่งเป็นยุคๆ ตั้งแต่ยุค 1G ที่โทรศัพท์เป็นแบบเซลลูล่าอันใหญ่ๆ ใช้สัญญาณอนาลอก หรือสัญญาณคลื่นวิทยุซึ่งเกิดในปี 1981 ยุคต่อมาคือ 2G เริ่มในปี 1992 โดยใช้ระบบดิจิตอล คือการนำสัญญาณเสียงมาบีบอัดให้เล็กลงจนเป็นสัญญาณอิเล็กโทรนิค ต่อมาในปี 2001 ก็เริ่มมีการใช้โทรศัพท์ 3G ที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรกที่นำระบบ 3G เข้ามาใช้จนถึงทุกวันนี้ จุดเด่นของ 3G คือรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ส่วนจุดอ่อนของ 3G คือ การเปลี่ยนจาก 2G ปัจจุบันในประเทศไทยเรานั้นน่าจะเรียกว่าระบบ 2.9G คือจากระบบ 2G เป็น 2.5G จนมาเป็น 2.9G เช่น สามารถถ่ายภาพแล้วก็อัฟเดตขึ้น Facebook ได้เลย แต่ก็ยังต้องคอยอยู่ดี แต่ถ้าเป็น 3G แล้วก็จะเร็วขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็เลยถือว่ามันไม่ได้ตอบสนองโจทย์ทั้งหมด เพราะถ้าจะพัฒนาระบบทั้งหมดให้เป็น 3G ต้องใช้งบลงทุนมากมายมหาศาล แต่สิ่งที่ได้มาบางทีอาจจะไม่คุ้มกับการใช้งานจริง ในส่วนของประเทศที่ใช้ 3G มานานแล้วเขามองว่าจะเปลี่ยนเป็นระบบ 4G กันแล้ว 4G เป็นเหมือนการสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกๆ 10 ปี
4G มีลักษณะแตกต่างจาก 3G คือ ในเรื่องของการเชื่อมต่อแบบเคลื่อนไหวไร้รอยต่อ 4G เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบใหม่นี้จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติ การเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว
สำหรับ 4G จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที นอกจากนี้ การพัฒนาต่างๆ ที่ ระบบ 3G รองรับ ระบบ 4G ก็จะรองรับในเวอร์ชั่นที่สูงกว่า อย่างเช่น การใช้งานมัลติมีเดียที่ดีขึ้น การรับส่งข้อมูลในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นกว่า การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นสากลและความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ รูปแบบต่างๆ ได้ ผู้ที่อยู่ในแวดวงการอุตสาหกรรมต่างยังลังเลที่จะคาดการณ์ ทิศทางที่เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้จะเป็นไป แต่ก็คาดว่าการพัฒนาของ ระบบ 4G ได้รวมเอาความสามารถในการค้นหาสัญญาณเครือข่ายได้ทั่วโลกเข้าไว้ ด้วย ระบบ 4G อาจจะเชื่อมต่อโลกทั้งใบและสามารถกระทำได้ในทุกที่ไม่ว่าจะอยู่บนหรือแม้จะอยู่เหนือพื้นผิวของโลกได้อย่างแท้จริง
นวัตกรรม 3G และ 4G
3G มาไม่ทันไร 4G ก็ออกมาอีกแล้ว แต่มีเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่เคยเก่าและไม่เคยตกรุ่นเลย อีกทั้งยังเป็นสุดยอดเทคโนโลยี สุดยอดนวัตกรรม จะกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ยังใหม่อยู่เสมอ หรือจะต่อไปในอีกแสนล้านปี ก็รับประกันได้ว่ายังใหม่เสมอ นั่นก็คือ ตัวของเรานี่แหละ ซึ่งประกอบด้วย กายกับใจ นี่คือสุดยอดนวัตกรรมสุดยอดของโลกที่จะหาใดมาเปรียบ ไม่ว่าเทคโนโลยีใดก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรมนั้นต้องอาศัยกายมนุษย์เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องมาเกิดบนโลกได้กายมนุษย์ แล้วบำเพ็ญเพียรจึงจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เทคโนโลยี 3G หรือ 4G นั้นแม้จะมีความเร็วมากมายเพียงใด ก็เป็นเพียงความเร็วในการส่งข้อมูล เช่น ดาวน์โหลดหนังเรื่องหนึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที แล้วเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการนั่งดูหนังเรื่องนั้น 3G หรือ 4G เป็นพียงเทคโนโลยีที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล แต่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงความเร็วในการรับรู้ข้อมูล เช่น เราโหลดหนังเรื่องหนึ่งใช้เวลา 2 นาที แต่เราต้องใช้เวลาในการดูถึง 2 ชั่วโมง จะทำให้การดูเร็วขึ้นโดยการเพิ่มความเร็วก็ไม่ได้ เดี่ยวตาลาย งงเอา
แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีทางใจแล้วล่ะก็จะข้ามพ้นขีดจำกัดตรงนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นอกาลิโก คำว่าอกาลิโก มีความหมาย 2 นัยคือ นัยแรก หมายถึง ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต้องบอกว่าไร้ขีดจำกัด ยกตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แว๊บเดียวก็สามารถระลึกได้ไม่รู้กี่พันชาติ อีกทั้งการรับส่งข้อมูลและการรับรู้ข้อมูลประสานเป็นเนื้อเดียวกัน 3G หรือ 4G ทำอย่างนี้ได้รึเปล่า อีกนัยหนึ่งคือว่า สามารถรับรู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งด้านนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถทำได้เลย นี่แหละอกาลิโก
ไม่มีนวัตกรรมไหนจะมาก้าวพ้นข้าม กายกับใจของเรา
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ใจของเราเป็นเทคโนโลยีที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน ชนิดที่ว่าไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถเทียบได้เลย มนุษย์จะพัฒนาเทคโนโลยีไปอีกเท่าใดๆ ก็ตาม ไม่มีนวัตกรรมไหนจะมาก้าวพ้นข้าม กายกับใจ ของเราเองได้ การศึกษาเทคโนโลยีทางโลกศึกษาแล้วสักพักก็เชยได้ แต่เทคโนโลยีทางใจ ศึกษาไว้ยังไงก็ไม่เชย ละโลกไปแล้วก็ยังเอาไปใช้ได้อีก ถึงเราจะต้องเรียนเทคโนโลยีทางโลกเพื่อใช้ในการครองชีวิต ก็เรียนไปเถอะ แต่ว่าอย่าลืมเทคโนโลยีทางใจซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งแล้วคุณประโยชน์ต่อตัวเราเองทั้งปัจจุบัน แล้วก็ต่อเนื่องไปข้ามภพ ข้ามชาติ
สุดท้ายนี้ขอฝากคำกลอนไว้สั้นๆ ว่า
“โลกภายนอกกว้างไกล ใครๆ รู้ โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
จะมองโลกภายนอก มองออกไป จะมองโลกภายในให้มองตน”
Panoramic Ball Cam
แม้สมาร์ทโฟนจะช่วยให้คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip สามารถถ่ายรูปได้ทุกที่ๆ ต้องการ แต่ถ้าหากต้องการถ่ายรูปหลายๆ มุมมอง คงไม่ใช่เรื่องสะดวกนัก โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ณ.ขณะนั้น อย่างไรก็ดี Panaromic Ball Cam แก็ดเจ็ต (gadget) ที่นำมาฝากกันเช้านี้ จะช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพพร้อมกันได้ 36 ภาพได้อย่างง่ายดาย (ใช้กล้องจากมือถือ 36 ตัวอยู่ภายใน) เพียงแค่โยนมันขึ้นไปบนอากาศ แค่นี้คุณก็ได้ภาพถ่ายพาโนรามา 360 องศาแล้ว
iPad mini เล็กทั้งสเป็ก ราคา ขนาดจอ?
[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] แม้ Steve Jobs จะเคยกล่าวไว้ว่า การทำ iPad หน้าจอขนาดเล็กไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Apple จะไม่ทำ หากตลาดมีความต้องการ และบริษัทมีศักยภาพที่จะทำได้ ซึ่งข่าวลือล่าสุดที่มีการเปิดเผยออกมาก็คือ Apple กำลังเตรียมการผลิต iPad mini ที่มีขนาดหน้าจอเล็กกว่า iPad และ iPad 2
ประเด็นที่่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า Apple มีแผนที่จะผลิต iPad mini ที่คำว่า "mini" หมายถึง สเป็กในเครื่อง และราคาที่ต่ำลง ไม่ใช่ขนาดของหน้าจอ แต่ข่าวลือที่ออกมาวันนี้อ้างว่า Apple ได้รับตัวอย่างหน้าจอขนาดประมาณ 7.85 นิ้วจาก LG และ AU Optronics ซึ่งจะเล็กกว่าหน้าจอของ iPad และ iPad 2 ทีมีขนาด 9.7 นิ้ว โดยคาดว่า หน้าจอขนาดเล็กกว่านี้จะถูกนำไปใช้ในการผลิต iPad mini
แหล่งข่าวจากที่เดียวกันยังอ้างอีกด้วยว่า iPad รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าจะวางตลาดในช่วงต้นปี 2012 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่า iPad ที่มีขนาดหน้าจอเล็กกว่าไม่น่าจะทำตลาดได้ดี แม้จะมีราคาถูกกว่าก็ตาม ในขณะที่ iPad 2 ยังสามารถยึดครองตลาดส่วนใหญ่ได้ โดยที่แท็บเล็ตคู่แข่งทางฝั่งพีซีหลายๆ ราย ไม่ว่าจะเป็น Samsung, HP, Dell, Motorola, Acer, Asus และ RIM ก็ยังไม่สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนี้มาได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ Apple ยังมีเวลาในการพัฒนา iPad รุ่นใหม่ หรือปล่อย iPhone 5 โปรเจ็กต์สุดท้ายของ Steve Jobs ออกมาก่อนก็เป็นได้
Panoramic Ball Cam จะมีลักษณะคล้ายลูกบอล แต่ภายในซ่อนกล้องที่สามารถถ่ายรูปได้ถึง 36 ตัว โดยขั้นตอนการถ่ายคือ โยนมันขึ้นไป แล้วรับมันให้ได้ เพียงแค่นี้ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณในขณะนั้นจะถูกบันทึกเข้าไปในตัวมัน ซึ่งคุณจะสามารถเลือกชมภาพเหตุการณ์ได้ทุกมุมมอง โดยเฉพาะมุมมองแปลกๆ ที่คุณอาจจะไม่เคยบันทึกได้มาก่อน ผลงานของภาพที่ได้จาก Panoramic Ball Cam จึงน่าตื่นเต้นเวลาเปิดออกมา ที่สำคัญมันเป็นการบันทึกภาพที่เกิดขึ้น ณ.ขณะนั้นพร้อมๆ กัน
หลังจากบันทึกภาพเสร็จแล้ว เราสามารถดาวน์โหลดภาพทั้งหมดเข้าสู่คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ซอฟต์แวร์ต่อภาพเข้าด้วยกันในแบบพาโนรามา แม้จะดุ Panoramic Ball Cam มีดีไซน์ทีเรียบง่าย แต่ความจริงแล้ว มันถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานถึง 5 คน Jonas Pfeil, Kristian Hildebrand, Casten Gemzow, Bernd Bickel และ Marc Alexa โดยมันได้รับการโปรแกรมการทำงานด้วยภาษา และโปรแกรมต่างๆ ไม่ว่จะเป็น C, C++, QT และ OpenCV ซึ่งภาพที่ได้น่าประทับใจมากทีเดียว สำหรับสนนราคา และกำหนดการวางตลาด ยังไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด ก็หวังว่า คงจะไม่แพงเกินไปนะ :D
iPad mini เล็กทั้งสเป็ก ราคา ขนาดจอ?
[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] แม้ Steve Jobs จะเคยกล่าวไว้ว่า การทำ iPad หน้าจอขนาดเล็กไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Apple จะไม่ทำ หากตลาดมีความต้องการ และบริษัทมีศักยภาพที่จะทำได้ ซึ่งข่าวลือล่าสุดที่มีการเปิดเผยออกมาก็คือ Apple กำลังเตรียมการผลิต iPad mini ที่มีขนาดหน้าจอเล็กกว่า iPad และ iPad 2
ประเด็นที่่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า Apple มีแผนที่จะผลิต iPad mini ที่คำว่า "mini" หมายถึง สเป็กในเครื่อง และราคาที่ต่ำลง ไม่ใช่ขนาดของหน้าจอ แต่ข่าวลือที่ออกมาวันนี้อ้างว่า Apple ได้รับตัวอย่างหน้าจอขนาดประมาณ 7.85 นิ้วจาก LG และ AU Optronics ซึ่งจะเล็กกว่าหน้าจอของ iPad และ iPad 2 ทีมีขนาด 9.7 นิ้ว โดยคาดว่า หน้าจอขนาดเล็กกว่านี้จะถูกนำไปใช้ในการผลิต iPad mini
แหล่งข่าวจากที่เดียวกันยังอ้างอีกด้วยว่า iPad รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าจะวางตลาดในช่วงต้นปี 2012 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่า iPad ที่มีขนาดหน้าจอเล็กกว่าไม่น่าจะทำตลาดได้ดี แม้จะมีราคาถูกกว่าก็ตาม ในขณะที่ iPad 2 ยังสามารถยึดครองตลาดส่วนใหญ่ได้ โดยที่แท็บเล็ตคู่แข่งทางฝั่งพีซีหลายๆ ราย ไม่ว่าจะเป็น Samsung, HP, Dell, Motorola, Acer, Asus และ RIM ก็ยังไม่สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนี้มาได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ Apple ยังมีเวลาในการพัฒนา iPad รุ่นใหม่ หรือปล่อย iPhone 5 โปรเจ็กต์สุดท้ายของ Steve Jobs ออกมาก่อนก็เป็นได้
วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์ (Microsoft) แจ้งเตือนผู้ใช้ว่า ขณะนี้ได้มีแฮคเกอร์ใช้ช่องโหว่ใหม่ (ข้อผิดพลาดของการทำงานที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผย) ที่พบในระบบปฏิบัติการ Windows เพื่อแพร่กระจายไวรัส Duqu ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางรายถึงกับออกปากว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ในโลกคอมพิวเตอร์ได้
ความน่ากลัวของ Duqu ทำให้ภาครัฐ และนักลงทุนทั่วโลกพยายามจะปลดล็อคมหันตภัยสายพันธุ์นรกนี้ให้ได้ โดยนักวิเคราะระบบให้ข้อมูลว่า มันถูกพัฒนาโดยแฮคเกอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยวางพื้นฐานการโจมตีระบบสำคัญๆ ของ โรงงานผลิตไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน และระบบท่อส่งต่างๆ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการติดไวรัส Duqu ถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อวานนี้ โดยไมโครซอฟท์ได้เผยถึงลิงค์อันตรายที่ทำให้ติดไวรัสตัวนี้ได้ ขณะเดียวกันทาง Symantec กล่าวว่า แฮคเกอร์จะส่งอีเมล์ที่มีลิงค์ของไวรัสตัวนี้ไปยังผู้ใช้ในรูปแบบของไฟล์แนบเอกสาร Word
เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์แนบ Word ดังกล่าว ไวรัส Duqu ก็จะติดเข้าไปในคอมพิวเตอร์ทันที การโจมตีที่เกิดขึ้นคือ ผู้บุกรุกจะสามารถเข้าควบคุมการทำงานของเครื่อง และเจาะเข้าไปยังเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัทของเหยื่อ เพื่อแพร่กระจายตัวมันเอง และล่าข้อมูล ซึ่ง Symantec ยังบอกอีกว่า โค้ดโปรแกรมบางส่วนที่พบใน Duqu เคยถูกใช้ใน Stuxnet ที่ใช้ทำลายระบบการทำงานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านมาแล้ว นั่นหมายความว่า แฮคเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Stuxnet อาจจะให้โค้ดกับแฮคเกอร์ที่พัฒนา Duqu หรือยอมให้ขโมยโค้ดดังกล่าวไป หรือแม้แต่เป็นคนเดียวกันที่สร้างมันขึ้นมา คำเตือนสำหรับคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ก็คือ อย่าเปิดไฟล์แนบใดๆ (โดยเฉพาะไฟล์เอกสาร Word) ที่ส่งมาจากผู้ที่เราไม่คุ้นเคย เพราะไม่งั้นคุณอาจจะตกเป็นเหยื่อของ Duqu ได้ และติดตามการอัพเดทแพตช์ของ Microsoft จากทางเว็บไซต์ arip อีกทีนะครับ :D
"เรากำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อค้นหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว และจะพยายามเร่งออกอัพเดทความปลอดภัยให้กับลูกค้า" ไมโครซอฟท์กล่าว ความจริงรายงานข่าวเกี่ยวกับไวรัส Duqu มีการเปิดในช่วงเดือนตุลาคมทีผ่านมา เมื่อ Symantec บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยออกมาบอกว่า พบไวรัสคอมพิวเตอร์ลึกลับที่มีโค้ดการทำงานคล้าย Stuxnet ที่มีภารกิจคือการทำลายระบบคอมพิวเตอร์ดังเช่น โรงงานนิวเคลียร์ ในประเทศอิหร่านที่โดนถล่มไปแล้วก่อนหน้านี้
ความน่ากลัวของ Duqu ทำให้ภาครัฐ และนักลงทุนทั่วโลกพยายามจะปลดล็อคมหันตภัยสายพันธุ์นรกนี้ให้ได้ โดยนักวิเคราะระบบให้ข้อมูลว่า มันถูกพัฒนาโดยแฮคเกอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยวางพื้นฐานการโจมตีระบบสำคัญๆ ของ โรงงานผลิตไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน และระบบท่อส่งต่างๆ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการติดไวรัส Duqu ถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อวานนี้ โดยไมโครซอฟท์ได้เผยถึงลิงค์อันตรายที่ทำให้ติดไวรัสตัวนี้ได้ ขณะเดียวกันทาง Symantec กล่าวว่า แฮคเกอร์จะส่งอีเมล์ที่มีลิงค์ของไวรัสตัวนี้ไปยังผู้ใช้ในรูปแบบของไฟล์แนบเอกสาร Word
เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์แนบ Word ดังกล่าว ไวรัส Duqu ก็จะติดเข้าไปในคอมพิวเตอร์ทันที การโจมตีที่เกิดขึ้นคือ ผู้บุกรุกจะสามารถเข้าควบคุมการทำงานของเครื่อง และเจาะเข้าไปยังเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัทของเหยื่อ เพื่อแพร่กระจายตัวมันเอง และล่าข้อมูล ซึ่ง Symantec ยังบอกอีกว่า โค้ดโปรแกรมบางส่วนที่พบใน Duqu เคยถูกใช้ใน Stuxnet ที่ใช้ทำลายระบบการทำงานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านมาแล้ว นั่นหมายความว่า แฮคเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Stuxnet อาจจะให้โค้ดกับแฮคเกอร์ที่พัฒนา Duqu หรือยอมให้ขโมยโค้ดดังกล่าวไป หรือแม้แต่เป็นคนเดียวกันที่สร้างมันขึ้นมา คำเตือนสำหรับคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ก็คือ อย่าเปิดไฟล์แนบใดๆ (โดยเฉพาะไฟล์เอกสาร Word) ที่ส่งมาจากผู้ที่เราไม่คุ้นเคย เพราะไม่งั้นคุณอาจจะตกเป็นเหยื่อของ Duqu ได้ และติดตามการอัพเดทแพตช์ของ Microsoft จากทางเว็บไซต์ arip อีกทีนะครับ :D
"เรากำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อค้นหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว และจะพยายามเร่งออกอัพเดทความปลอดภัยให้กับลูกค้า" ไมโครซอฟท์กล่าว ความจริงรายงานข่าวเกี่ยวกับไวรัส Duqu มีการเปิดในช่วงเดือนตุลาคมทีผ่านมา เมื่อ Symantec บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยออกมาบอกว่า พบไวรัสคอมพิวเตอร์ลึกลับที่มีโค้ดการทำงานคล้าย Stuxnet ที่มีภารกิจคือการทำลายระบบคอมพิวเตอร์ดังเช่น โรงงานนิวเคลียร์ ในประเทศอิหร่านที่โดนถล่มไปแล้วก่อนหน้านี้
Google ออก Chrome เวอร์ชัน 15
รายงานข่าวล่าสุด Google ออก Chrome เวอร์ชัน 15 (Stable channel) ซึ่งมีการอัพเดทอินเตอร์เฟซบ้างเล็กน้อย รวมถึงการทำให้หน้า"แท็บ"ใหม่สะอาดตามากขึ้น นอกจากนี้ ทาง Google ยังได้อัพเดท Chrome Web Store ด้วยเลย์เอาท์ที่ง่ายกว่าเดิม
นอกจาก Google จะปลี่ยนเปลงการแสดงหน้าเริ่มต้นการใช้แท็บในลักษณะข้างต้นแล้ว ทางบริษัทยังเปลี่ยนแปลง Chrome Web Store ด้วย โดยออกแบบให้ง่ายกว่าเดิม และให้ความรู้สึกเหมือนใช้แอพพลิเคชันมากกว่าการเปิดหน้าเว็บ ส่วนแสดงผลคอนเท็นต์หลักจะแสดงกริดของส่วนเพิ่มขยายการทำงานของโปรแกรม (extensions) แอพพลิเคชันต่างๆ (applications) และธีม (themes) ที่สามารถติดตั้งเข้าไปในระบบได้ ทั้งนี้ Chrome Web Store จะโหลดรายการเหล่านี้ให้เพิ่มเติม เมื่อเลื่อนหน้าจอลง ส่วนไซด์บาร์ทางด้านซ้ายจะมาพร้อมกับฟังก์ชันค้นหา หรือกรองรายการตามหมวดที่สนใจ ในขณะที่แถบนำร่องการใช้งานที่ด้านบนจะแสดงลำดับชั้นย่อยๆ (bread crumbs) เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่า ขณะนั้นกำลังอยู่ในชั้นในของโครงสร้าง Chrome 15 กำลังทะยอยอัพเดทผู้ใช้โดยอัตโนมัติ แต่หากต้องการดาวน์โหลดเองสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Google
สำหรับ Chrome 15 จะมาพร้อมกับหน้า"แท็บ"ใหม่ ซึ่งแต่เดิมเป็นหน้าว่าง ตอนนี้จะมีการแสดงธัมบ์เนลล์ของเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าไปเยี่ยมบ่อยสุด พร้อมทั้งทำชอร์ทคัทของเว็บแอพพลิเคชันที่ผู้ใช้ได้ติดตั้งเข้าไปในระบบ นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแต่ละหน้าของชอร์ทคัทเว็บไซต์ และเว็บแอพได้ด้วยการคลิกที่ไอคอนลูกศรด้านข้าง ผู้ใช้สามารถสร้างหน้ารวมเว็บแอพฯ หลายๆ หน้าได้ หรือจะย้าย (ลาก) ไอคอนเว็บแอพฯ จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่งได้ (คล้ายกับบนสมาร์ทโฟน) การคลิกขวาบนไอคอนเว็บแอพฯ จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะเปิดเว็บแอพฯในแท็บ หรือเต็มหน้าจอ
นอกจาก Google จะปลี่ยนเปลงการแสดงหน้าเริ่มต้นการใช้แท็บในลักษณะข้างต้นแล้ว ทางบริษัทยังเปลี่ยนแปลง Chrome Web Store ด้วย โดยออกแบบให้ง่ายกว่าเดิม และให้ความรู้สึกเหมือนใช้แอพพลิเคชันมากกว่าการเปิดหน้าเว็บ ส่วนแสดงผลคอนเท็นต์หลักจะแสดงกริดของส่วนเพิ่มขยายการทำงานของโปรแกรม (extensions) แอพพลิเคชันต่างๆ (applications) และธีม (themes) ที่สามารถติดตั้งเข้าไปในระบบได้ ทั้งนี้ Chrome Web Store จะโหลดรายการเหล่านี้ให้เพิ่มเติม เมื่อเลื่อนหน้าจอลง ส่วนไซด์บาร์ทางด้านซ้ายจะมาพร้อมกับฟังก์ชันค้นหา หรือกรองรายการตามหมวดที่สนใจ ในขณะที่แถบนำร่องการใช้งานที่ด้านบนจะแสดงลำดับชั้นย่อยๆ (bread crumbs) เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่า ขณะนั้นกำลังอยู่ในชั้นในของโครงสร้าง Chrome 15 กำลังทะยอยอัพเดทผู้ใช้โดยอัตโนมัติ แต่หากต้องการดาวน์โหลดเองสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Google
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)